วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

กฎหมายคืออะไร
ความจริงกฎหมายเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย แต่ก็เป็นการยากที่จะให้คำจำกัดความของคำว่ากฎหมายกว้างขวางเพียงพอโดยไม่จำเป็นให้คำอธิบายเพิ่มเติมว่าโดยแท้จริงแล้วกฎหมายคืออะไร หรือหมายความว่าอย่างไร โดยเนื้อแท้แล้วกฎหมายคือ ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์(rules) ที่ควบคุมความประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ที่มีต่อกันภายในสังคมที่ตนเองเป็นสมาชิกสังกัดอยู่ เป็นสิ่งที่มนุษย์จะต้องไม่ละเมิดและต้องปฏิบัติตาม ในที่นี้ต้องเข้าใจด้วยว่ากฎหมายหมายรวมถึงกฎเกณฑ์ที่ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหน่วยสังคมที่มนุษย์นั้นอาศัยอยู่ด้วย และในหมู่มนุษย์ที่มีอารยะแล้วกฎหมายยังถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรทางสังคมด้วยกัน กฎหมายในประการหลังสุดนี้ ได้แก่ สิ่งที่เรียกกันว่า กฎหมายระหว่างประเทศ(international law)
ปัจจัยที่สำคัญประการแรกสุดของกฎหมาย ได้แก่ การที่มนุษย์อยู่รวมกันเป็นสังคม ถ้ามนุษย์แยกกันอยู่อย่างโดดเดี่ยว คงไม่จำเป็นต้องมีกฎหมาย ดังนั้น การมีกฎหมายย่อมหมายโดยปริยายว่ามนุษย์อยู่รวมกันเป็นองค์กรทางสังคม
มีผู้เห็นว่า สิ่งที่จะเป็นกฎหมายต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์[1] ดังนี้
(1)      ต้องมาจากรัฐาธิปัตย์
(2)      ต้องเป็นคำสั่งคำบังคับบัญชาทั่วไป
(3)      ใช้ได้เป็นการตลอดจนกว่าจะมีการยกเลิก
(4)      ประชาชนจำต้องปฏิบัติตาม
(5)      มีบทบังคับ
กฎหมายจารีตประเพณีและกฎหมายลายลักษณ์อักษร
ดังได้กล่าวแล้วว่า กฎหมายเกิดมาพร้อมกับการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นองค์กรทางสังคมกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่เคียงคู่กับชุมชนมาตั้งแต่เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์แล้ว เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่าย่อมต้องจำกัดความประพฤติของตนเองให้อยู่ในลักษณะที่จะไม่ไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นในขณะเดียวกันก็จะต้องประพฤติปฏิบัติตนในสิ่งที่ชุมชนเห็นว่าดีงามด้วย การประพฤติปฏิบัติตนในสิ่งที่ไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นในชุมชน ย่อมทำให้ผู้นั้นได้รับผลร้าย ข้อประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ได้มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาโดยการบอกเล่าของคนในชุมนุมชนนั้นๆ จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า “กฎหมายจารีตประเพณี” (customary law)[2] เมื่อมนุษย์มีภาษาเป็นสื่อในการทำความเข้าใจซึ่งกันและกันและประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมา จึงได้มีการนำเอากฎหมายมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นการชัดแจ้งแน่นอนเรียกกันว่า “กฎหมายลายลักษณ์อักษร” (written law) กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความเก่าแก่ที่สุดได้แก่ ประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบี(code of Hammurabi) แห่งอาณาจักรบาบิโลน ซึ่งมีความเก่าแก่ประมานว่าอยู่ที่ปี 2250 ถึง 2000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นบทบัญญัติกฎหมายที่สลักลงไปบนแผ่นศิลาไดโอไรต์ (diorite stone) ด้วยตัวอักษรลิ่ม (cuneiform) หลักกฎหมายที่สำคัญในประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบี ได้แก่ หลักการลงโทษระบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน (an eye for an eye, a tooth for a tooth) หรือที่เรียกกันว่า Lex Talionis เป็นบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันกับการกระทำแก่ผู้อื่น กล่าวคือ ถ้าหากมีการกระทำแก่ผู้อื่นในลักษณะอย่างไร ผู้กระทำก็จะได้รับผลร้ายในลักษณะอย่างเดียวกัน ซึ่งการลงโทษในลักษณะเช่นนี้ได้รับการแก้ไขโดยกฎหมายของชาวยิว (Jewish Law) ที่กำหนดว่า บิดาย่อมไม่ต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำของบุตร บุตรก็ไม่ต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำของบิดา มนุษย์ทุกคนต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำบาปของตนเอง[3] จึงเห็นได้ว่ากฎหมายชาวยิวเน้นความรับผิดทางอาญาว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ใช่ความรับผิดอันเนื่องมาจากครอบครัวหรือความเป็นญาติ กล่าวกันว่า กฎหมายของพวกชาวยิวมีความเก่าแก่น้อยกว่าประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบี ประมาน 800 ปีเศษ กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญต่อกฎหมายปัจจุบันและมีความเก่าแก่รองลงมาอีกได้แก่กฎหมายโรมัน (Roman Law) ซึ่งบัญญัติขึ้นมาเมื่อปี 451 ก่อนคริสตกาล รายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบีและกฎหมายโรมันจะได้มีการศึกษากันในภายหลัง

ประวัติศาสตร์กฎหมายคืออะไร
ความจริงการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายในประเทศไทยมีมาเป็นเวลานานแล้วก่อนที่จะมีการศึกษากฎหมายอย่างมีแบบแผนตามแบบอย่างประเทศตะวันตก เช่น ในกรณีของการตรากฎหมายลักษณะขบถศึกเมื่อ พ.ศ.1996[4] มีการให้ค้นหาพระบาฬีทวะดึง 32 ประการ การประมวลกฎหมายตรา 3 ดวง เมื่อ พ.ศ. 2347[5] ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีการรวบรวมบรรดาตัวบทกฎหมายที่มีอยู่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาทั้งหมด และเมื่อมีการแก้ไขการปกครองแผ่นดินเมื่อครั้งรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นตัวอย่าง ทั้งนี้เพราะอาณาจักรสยามหรือประเทศไทยในปัจจุบันเป็นประเทศที่มีอารยธรรม ประเทศที่มีอารยธรรมล้วนแต่เป็นประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมาย การศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ โดยมีอาจารย์ผู้สอนเป็นชาวฝรั่งเศส คือ ศาสตราจารย์ ดร. ร. แลงกาต์ (R. Langar) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายชาวต่างประเทศที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงว่าจ้างให้เป็นที่ปรึกษากฎหมาย เมื่อศาสตรจารย์ ดร. ร. แลงกาต์ ได้ลาออกจากราชการและออกจากประเทศไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีอาจารย์ผู้สอนประวัติศาสตร์กฎหมายไทยเป็นคนไทย คือท่านศาสตราจารย์พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์ ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำหรับคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์นั้น ก็มีศาสตราจารย์พระวรภักดิ์พิบูลย์ (ม.ล.นภา ชุมสาย) เป็นผู้สอน อาจารย์ผู้สอนทั้ง 3 ท่านก็ได้เขียนตำราประวัติศาสตร์ไทยไว้สำหรับนักศึกษาได้ใช้ในการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทย
กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ปัจจุบันยังมีความเห็นที่แตกต่างกันว่าประวัติศาสตร์กฎหมายคืออะไร ในหนังสือประวัติศาสตร์กฎหมายของศาสตราจารย์พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์ กล่าวเป็นทำนองว่า การพูดว่ากฎหมายบทนั้นบทนี้มีความเห็นอย่างไร มีตำนานเกี่ยวพันกันประการใด มีความคิดเห็นเปลี่ยนแปลงอย่างไร ดังนี้ไม่ใช่เรื่องของประวัติศาสตร์กฎหมาย แต่ถ้ากล่าวถึงว่าข้อบัญญัติลักษณะหนึ่งในสมัยเดิมกับสมัยนี้ว่าบังคับต่างกันอย่างไร ก็เรียกได้ว่ากล่าวถึงประวัติศาสตร์กฎหมาย[6]
นักประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันมีความเห็นว่าประวัติศาสตร์กฎหมาย หมายถึง วิวัฒนาการของแนวความคิด (concept) หลักเกณฑ์ความประพฤติ (doctrines) และกฎเกณฑ์ต่างๆ (rules) ที่มนุษย์ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม หลักเกณฑ์และกฎเกณฑ์ต่างๆเหล่านี้จะต้องแปลความตามเวลาและสถานการณ์ในขณะนั้น[7]
ผู้เขียนมีความเห็นว่าการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมาย คือการศึกษาเหตุการณ์ในกฎหมายในเวลาและสถานการณ์ต่างๆกัน ทั้งนี้เป็นการศึกษาเหตุการณ์ในกฎหมายที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนหมู่มาก ทำนองเดียวกับการศึกษาประวัติศาสตร์ทั่วไป ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เกิดขึ้นเมื่อใด เกิดขึ้นที่ไหน และผลของเหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ตลอดจนค้นหาสาเหตุว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น เพื่อคาดการณ์ถึงแนวโน้มของเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

การแบ่งยุคประวัติศาสตร์กฎหมายไทย
สำหรับการแบ่งยุคในทางประวัติศาสตร์กฎหมายนั้นมิได้อาศัยรูปแบบการแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ดังกล่างมาแล้ว แต่จะพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านกฎหมายเป็นสำคัญซึ่งถ้ากล่าวอย่างกว้างๆก็อาจแบ่งยุคประวัติศาสตร์กฎหมายไทยกฎหมายไทยได้เป็น ยุค คือ ยุคก่อนสมัยใหม่ (Pre-Modern Law) และยุคสมัยใหม่ (Modern Law) โดยถือเอาช่วงรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นจุดแบ่ง เพราะเป็นระยะเวลาที่ประเทศสยามได้รับอิทธิพลของกฎหมายตะวันตกซึ่งเป็นกฎหมายสมัยใหม่เข้ามาในประเทศจนมีการจัดทำประมวลกฎหมาย (codification) ในเวลาต่อมา[8]
ยุคกฎหมายไทยก่อนสมัยใหม่
ยุคก่อนสมัยใหม่นั้น หากพิจารณาลงไปในรายละเอียดก็จะพบว่ากฎหมายไทยในยุคนี้ยังแบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ
(1) ช่วงที่เป็นกฎหมายไทยเดิมแท้ๆกล่าวคือ กฎหมายในช่วงนี้เป็นกฎหมายที่มาจากวัฒนธรรมและจารีตประเพณีของสังคมไทยแท้ๆ ก่อนที่จะได้รับอิทธพลของวัฒนธรรมอินเดีย ระยะเวลาในช่วงนี้จะเริ่มจากถิ่นกำเนิดคนไทยจนถึงสมัยสุโขทัย[9] ซึ่งจากการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการก็พบว่าสังคมไทยดั้งเดิมนั้นเป็นสังคมแบบมาตาธิปไตย คือ ถือแม่เป็นใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากธรรมเนียนการสมรสแบบ Matrilocal marriage คือ ชายหญิงเมื่อสมรสกันแล้วชายต้องมาอยู่กับครอบครัวของหญิง หญิงจึงเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรและเก็บรักษาทรัพย์สิน[10] ธรรมเนียมการสมรสที่ชายต้องอาศัยตระกูลของหญิงทำให้หญิงสำนึกว่าตัวเป็นเจ้าของบ้าน ดังนั้น ในชีวิตสมรสชายจึงมีฐานะเหมือนเป็นแขกในครอบครัวฝ่ายหญิง ซึ่งทำให้เกิดความเคยชินที่ชายต้องให้ความสำคัญแก่คนในครอบครัวหญิงรวมทั้งตัวหญิงเองด้วย ประกอบกับธรรมเนียมไทยที่มักให้ลูกหญิงคนหนึ่งซึ่งโดยมากเป็นลูกสาวคนเล็กและลูกเขยที่อยู่ด้วยนั้นจะได้รับมรดกต่อ
ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะสำคัญทางโครงสร้างพื้นฐานของสังคมไทยซึ่งเป็นลักษณะที่ดั้งเดิมที่สุด แต่โครงสร้างพื้นฐานที่กล่าวนี้ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อชนชาติไทยที่อยู่ในแหลมอินโดจีนได้สัมผัสและรับวัฒนธรรมอินเดียเข้ามา
(2) กฎหมายในช่วงที่สองนั้นเป็นกฎหมายที่ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งวัฒนธรรมอินเดียนั้นเป็นวัฒนธรรมที่ถือชายเป็นใหญ่หรือเรียกว่า ปิตาธิปไตย[11] ทำให้สถานภาพหญิงเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อมาถึงสมัยที่ใช้คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ ได้มีการกล่าวถึงสถานภาพของสตรีว่า ผู้หญิงเป็นเพียงที่พัก เป็นเพียงส่วนประกอบของผู้ชายและมีธรรมชาติที่เลวร้ายในตัวถ้าไม่ได้รับการอบรมที่ดี จึงมีการห้ามผู้หญิงทำพิธีกรรม เพราะถือว่าหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ จึงไม่มีส่วนในมนตร์ นอกจากนี้ยังถือว่าหญิงเป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ จึงมีการห้ามผู้หญิงเป็นพยาน[12] กฎเกณฑ์ทางสังคมเหล่านี้สะท้อนความเชื่อที่ว่าผู้หญิงเปรียบประดุจวัตถุสิ่งของที่ขึ้นอยู่กับการจับวางของชายผู้เป็นเจ้าของ[13]

ยุคกฎหมายไทยสมัยใหม่
การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายไทยในช่วงนี้จะเริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อันเป็นเวลาที่ประเทศไทยได้เริ่มรับแนวคิดจากกฎหมายตะวันตก ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายสมัยใหม่ เข้ามาในสังคมไทยและมีการจัดทำประมวลกฎหมายต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงอาจกล่าวได้ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นจุดที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติแบบสมัยใหม่
สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายในสมัยใหม่นี้ อาจแยกวิวัฒนาการออกได้เป็น 3 ช่วงเวลา คือ[14]
ครั้งแรก รับเอากฎหมายอังกฤษเข้ามาใช้ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องไปก่อน เพราะการปฏิรูปกฎหมายทั้งระบบจะต้องใช้เวลานาน
ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมาย
มักจะมีคำถามเสมอว่าเรียนประวัติศาสตร์กฎหมายไปเพื่ออะไร และจะได้ประโยชน์อะไรจากการเรียนประวัติศาสตร์กฎหมาย ในเมื่อเรียนไปแล้วก็เอาไปประกอบอาชีพโดยตรงไม่ได้
เหตุที่ต้องเรียนประวัติศาสตร์กฎหมายก็เพราะวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายเป็นองค์ประกอบสำคัญของวิชานิติศาสตร์เช่นเดียวกับร่างกายมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ หากขาดอวัยวะที่ไม่สำคัญบางอย่างไปชีวิตก็ยังคงดำรงอยู่ได้ หากขาดอวัยวะที่สำคัญไปชีวิตก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ วิชาประวัติศาสตร์กฎหมายก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน หากไม่เรียน ไม่ศึกษา ก็สามารถประกอบวิชาชีพทางกฎหมายได้ และถ้าหากได้ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายก็จะทำให้เข้าใจกฎหมายได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทำให้เข้าใจวิวัฒนาการของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ดีขึ้น
1. กล่าวกันว่ากฎหมายเป็นเรื่องของประสบการณ์ บางครั้งบทบัญญัติของกฎหมายก็ไม่ได้เป็นไปตามหลักตรรกวิทยา บางครั้งต้องอาศัยประวัติศาสตร์มาอธิบายถึงที่มาของบทบัญญัติกฎหมาย จึงจะเข้าใจถึงเหตุผลของกฎหมาย เช่น ในขณะที่ประเทศต่างๆ ศาลทั้งหลายเป็นองค์กรอิสระ แต่ศาลยุติธรรมของไทยกลับเคยสังกัดกระทรวงยุติธรรม[15] ซึ่งเป็นองค์กรของฝ่ายบริหาร ดังนั้น ถ้าหากเราต้องการจะทราบว่าเพราะเหตุใดศาลยุติธรรมของไทยเคยสังกัดกระทรวงยุติธรรม เราก็ต้องไปศึกษาในประกาศจัดตั้งกระทรวงยุติธรรม ร.ศ. 110 (พ.ศ.2434) หรือเพราะเหตุใดศาลหลวง (Royal Court) ของประเทศอังกฤษจึงมีชื่อเรียกต่างๆกัน ตัวอย่างต่างๆเหล่านี้คงต้องนำประวัติศาสตร์มาอธิบายจึงจะสามารถตอบคำถามต่างๆข้างต้นได้ ณ จุดนี้ประวัติศาสตร์หนึ่งหน้าย่อมมีค่ามากกว่าตรรกวิทยาหนึ่งเล่ม
2. ทำให้เราทราบถึงที่มาแห่งหลักเกณฑ์ต่างของกฎหมาย เช่น ทำให้เราทราบว่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยแบ่งทรัพย์ออกเป็น ทรัพย์มีรูปร่าง และทรัพย์ไม่มีรูปร่าง โดยแบ่งออกเป็นอสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ตามแบบอย่างกฎหมายโรมัน ในขณะที่กฎหมายไทยแต่เดิมเคยแบ่งทรัพย์ออกเป็น ทรัพย์มีวิญญาณ (วิญญาณกทรัพย์) และทรัพย์ไม่มีวิญญาณ (อวิญญาณกทรัพย์) เป็นต้น
3. ทำให้เราทราบเจตนารมณ์ และขอบเขตของกฎหมาย ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายย่อมทราบถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย และขอบเขตของกฎหมายเป็นอย่างดี การรู้เจตนารมณ์ และ ขอบเขตของกฎหมาย ทำให้สามารถใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการตีความกฎหมายตามตัวอักษรขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย เราต้องถือตามเจตนารม์ของกฎหมายเป็นสำคัญยิ่งกว่าความหมายของกฎหมายตามลายลักษณ์อักษร[16]
4. ทำให้เราทราบถึงที่มาของรูปแบบการปกครองของประเทศต่างๆ ตลอดจนความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นในการพัฒนาของแต่ละประเทศ
5. ทำให้เราทราบถึงวิธีการต่างๆที่มนุษย์คิดกันขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสังคมในกาลเวลาและสถานที่แตกต่างกัน
6. ประวัติศาสตร์กฎหมายนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมโลก การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายย่อมทำให้เราได้ศึกษาอารยธรรมโลกโดยปริยาย

Notes

[1] อุทิศ แสนโกศิก กฎหมายอาญา ภาค1 (ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กรมวิชาการ กรมอัยการ,2525), หน้า 1-2
[2] คำว่ากฎหมายจารีตประเพณีตามกฎหมายอังกฤษ หมายถึง จารีตประเพณีที่ศาลยอมรับบังคับบัญชาให้ ดู R.W. LEAGE, Roman Private Law, (London: Mc Millan and Co. Limited, 1909) p. 2.
[3] John Maxy Zane, The story of Law, (New York, Ives Washburn, Inc.1928) p. 102.
[4] รศ.กำธร กำประเสริฐ, ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก, หน้า 17
[5] รศ.กำธร กำประเสริฐ, ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก, หน้า 43
[6] พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์, ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย (พระนคร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2512) หน้า 21-22
[7] Federick G Kempin. Jr., Historical Introduction to Anglo-American Law, (St. Paul, Minn West Publishing Co., 1973), p. 5
[8] ร. แลงกาต์, ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย เล่ม 1, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, พ.ศ.2526, หน้า 49-52
[9] ดูรายละเอียดได้จาก ศรีศักร วัลลิโภดม, น่านเจ้า-ตาลี หรือน่านเจ้า-สุโขทัย ปัญหาเรื่องคนไทยมาจากไหน, เมืองโบราณ ฉ.2 พ.ศ.2532
[10] ปรีดี เกษมทรัพย์, นิติปรัชญา, โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, หน้า 47
[11] ปรีดี เกษมทรัพย์, นิติปรัชญา, โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, หน้า 48
[12] ปรีชา ช้างขวัญยืน, ความตกต่ำของสตรีอินเดียโบราณ, วารสารอินเดียศึกษา, ปีที่ 4, พ.ศ. 2542, หน้า 24-25
[13] ฉัตรสุมาลบ์ กบิลสิงห์, ภาพลักษณ์ของสตรีฮินดู : มานวธรรมศาสตร์, หน้า 19
[14] ปรีดี เกษมทรัพย์, นิติปรัชญา, โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, หน้า 49-50
[15] พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ.2477 มาตรา 1
[16] หยุด แสงอุทัย, คำอธิบายกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล, (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2527), หน้า 62


 Reference 

รศ.สุเมธ จานประดับ และคณะ ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2549.

กำธร กำประเสริฐ ประวัติศาสตร์กฎหมาย, โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2521.

สมยศ เชื้อไทย คำอธิบายหลักรัฐธรรมนูญทั่วไป, โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์ 2535.






Papasara Ransirochana

ID: 5256802

Section 1
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น